หนังผจญภัยดินแดนมหัศจรรย์ Journey to the Center of the Earth


หนังผจญภัยดินแดนมหัศจรรย์ Journey to the Center of the Earth ดิ่งทะลุสะดือโลก หนังฟอร์มโตเรื่องหนึ่งเข้ามาฉายในบ้านเรา บุกอาณาจักรโลก
บรรดานักแสดงนำอาจไม่มีชื่อที่คุ้นหู แต่ทีมงานที่สร้างมีเครดิตดีพอสมควรจากหนังดังหลายเรื่องที่เคยมาโกยเงินในบ้านเรามาแล้ว ผมเองก็เพิ่งจะได้เข้าไปชมตอนสายๆของวันนี้ หนังจะสนุกจะน่าดูหรือไม่ ต้องไปชมกันเองครับ เพราะว่าผมก็ไม่ได้มีความประสงค์จะวิจารณ์หนัง แต่อยากจะวิเคราะห์ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์มดูสักหน่อย ดูหนัง ไทย
ช่วงเวลา 12,000 BP (Before Present) เป็นช่วงรอยต่อของยุค Pleistocene และ Holocene มนุษย์เพิ่งจะเริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เป็นครั้งแรก เช่น การเพาะปลูก ภาษาพูดเริ่มแยกออกจากกันระหว่างชนกลุ่มต่างๆอย่างชัดเจน เวลาดังกล่าวเป็นการแบ่งระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-History) และสมัยประวัติศาสตร์ ยุคน้ำแข็ง (Ice Age) ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในช่วงนี้เอง หลังจากนั้นโลกเราก็อุ่นขึ้น และมนุษย์สามารถเข้าไปตั้งถิ่นฐานในที่ละติจูดสูงเช่นยุโรปตอนเหนือได้มากขึ้น โลกนั้นสมัยนั้นก็เต็มไปด้วยสัตว์ยักษ์แบบในหนังนั่นแหละ และก็มาสูญพันธุ์ไปในช่วงนั้นเยอะเลย
หนังเริ่มต้นด้วยชนเผ่าหนึ่งที่น่าจะอยู่บริเวณตอนใต้ของยุโรปในปัจจุบัน อากาศหนาวเย็นมาก เพราะเป็นช่วงปลายของยุคน้ำแข็ง พวกเค้าหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าช้างยักษ์งายาวที่ลำตัวปกคลุมด้วยขน ซึ่งถ้าดูช่วงเวลาที่หนังกำลังเล่าคือ 10,000 ปีก่อนคริสกาลนั้น โอกาสที่ยังจะมีช้างแมมมอธ (Mammoth) หลงเหลืออยู่นี่เป็นไปได้สูงเลย บางตำราก็บอกว่า แมมมอธตัวสุดท้ายเพิ่งจะสิ้นลมไปเมื่อห้าพันปีก่อน แต่คนรุ่นเราไม่ต้องกลัวนะครับ เค้ามีการค้นพบซากแช่แข็งใน Siberia นักวิทยาศาสตร์น่าจะ Clone มันได้ภายในไม่กี่ปีถัดจากนี้
ชนเผ่ายาห์กาล ตามท้องเรื่องก็ทำมาหากินอะไรไม่เป็นนะครับ นอกจากล่าสัตว์ อาวุธของพวกเค้าก็คือหอกที่ปลายเป็นหินและกระดูกสัตว์ ทำการเกษตรไม่เป็น ปลูกพืชไม่ได้ และไม่มีสัตว์เลี้ยง แค่จุดไฟได้นี่ก็เก่งแล้ว ที่ผมกลัวมากคือ ถ้าหากในเรื่องพูดภาษา @#*&% แล้วจะดูรู้เรื่องมั้ยเนี่ย (โชคดีมากที่ผู้กำกับไม่ใช่ Mel Gibson มิฉะนั้นเราจะต้องปวดหัวเหมือนเรื่อง The Passion of The Christ และ Apocalipto) พอตัวแสดงคนแรกพูดภาษาอังกฤษออกมานี่ผมใจชื้นเลย แต่ในความเป็นจริงก็คือสมัย 10,000 ไม่มีภาษาอังกฤษ แต่เริ่มมีภาษามนุษย์อย่างน้อยสามตระกูลแล้วในแหล่งอารยธรรมโบราณ เผ่ายาห์กาลของเราไม่เจริญถึงขั้นนั้น ในการล่าสัตว์จึงน่าจะใช้วิธีตะโกนโหวกเหวกชี้โบ้ชี้เบ้มากกว่า ตอนที่หัวหน้าทีมสู้แรงช้างไม่ไหว บอก let it go นี่ไม่มีทางเป็นไปได้ J
ต่อมาก็มีอีกคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตัวใหญ่ ขี่ม้า อาวุธครบมือ บุกเข้ามาจับตัวชนเผ่าที่น่าสงสารไป คนกลุ่มนี้มีวิทยาการสูงกว่า ดูจากการแต่งตัวที่มีเสื้อเกราะและเครื่องประดับโลหะ มีดาบด้วย ย่อมจะเก่งกว่านักล่าช้างของเราเป็นธรรมดา ทางด้านความเชื่อ คนกลุ่มนี้นับถือเทพเจ้าเป็นตัวเป็นตน มีนักบวช และมีพิธีกรรม แสดงว่าก้าวหน้ากว่า ชาวยาห์กาลที่นับถือ Spirit และมีพ่อมดหมอผี ผมชอบตรงที่พระเอกจะไล่ตามคนรักที่ถูกจับตัว เพื่อนก็ทักท้วงว่าจะตามไปยังไงพวกนี้มันเป็นปีศาจ มันอาจจะบินได้ พระเอกก็ตอบว่า “ข้าไม่เห็นพวกมันมีปีกเลย หรือว่าเจ้าเห็น” แสดงว่าความคิดที่เป็นตรรกะเริ่มจะเกิดในหมู่มนุษย์แล้ว
คาราวานทาสเดินทางข้ามภูเขาสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยหิมะ แล้วก็มาถึงป่าแห่งหนึ่งที่อุดมไปด้วยนกยักษ์ ก็โดนจับกินไปหลายคน ถ้าใครยังไม่ได้ดู และนึกไม่ออกว่านกยักษ์มีพฤติกรรมอย่างไร ลองนึกถึง Velocirapter ในเรื่อง Jurassic Park นะครับ วิ่งพล่านพอๆกันเลย ออกล่าเป็นฝูงเหมือนกัน แต่หัวเหมือนนกอินทรีและไม่มีหางยาว
ในเรื่องก็ไม่ได้บอกนะครับว่าเป็น Species ไหน แต่ในสมัย 10,000 BC ก็มีนกยักษ์แบบนี้อยู่จริง มีหลายพันธุ์ด้วย ก็ไม่รู้อะไรทำให้มันต้องตัวใหญ่ขนาดนี้ พวกนี้สูญพันธุ์ไปเพราะสภาพแวดล้อมและอาหารการกินเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก
ตามท้องเรื่องบอกว่า พวกที่มาจับตัวนางเอกไปนี้ อ้างตัวเป็นเทพเจ้า คนเชื่อกันว่ามาจากดาวดวงอื่น หรือมาจากแผ่นดินที่จมหายไปในมหาสมุทร ถึงในหนังจะไม่ได้บอกชื่อเกาะ เราก็สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าหนังกำลังพูดถึง ทวีปแอตแลนติสนั่นเอง ซึ่งตามตำนานว่าน่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ผู้คนในทวีปลับแลนี้มีวิทยาการก้าวหน้ามาก่อนพวกอียิปต์ และกรีกโรมันเสียอีก แม้แต่ Plato นักปราชญ์กรีกโบราณก็ยังพูดถึงทวีปนี้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่ามีอยู่จริง และถึงจะมีจริงก็ไม่น่าจะเก่าถึง 10,000 BC
ตอนที่นางเอกเข้าไปในห้องนักบวชก็จะมีแผนที่เกาะขนาดใหญ่อยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกานะครับ แต่ขอโทษครับ สมัย 10,000 BC ไม่มีทางมีแผนที่ คนวาดแผนที่สมัยโบราณอาจจะเพี้ยนๆหน่อยนะครับ เพราะแผนที่ตัวอย่างที่ผมเอามานี้มันกลับหัว อย่างไรก็ตามทวีปนี้น่าจะอยู่นอกชายฝั่งประเทศสเปนและแอฟริกา
ชาวแอตแลนติสมีการกวาดต้อนแรงงานและช้างแมมมอธจำนวนมากมาสร้างปิระมิด ผมยังงงๆว่าร้อนขนาดนั้นช้างขนยาวทนไหวได้ยังไง แต่ในทางวิทยาศาสตร์ก็มี African Mammoth นะครับ นอกจากนี้พวกเค้ายังรู้จักการสร้างทางลาดขนาดยักษ์เพื่อใช้ในการขนหินก้อนโตๆ มีอยู่ตอนนึงกลุ่มของพระเอกสอบถามชายตาบอดที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องพระเจ้ามากกว่าชาวบ้าน ชายคนนั้นบอกว่าเมื่อก่อนมีพระเจ้าอยู่สามองค์ ตอนนี้เหลือแค่หนึ่ง เป็นการบอกนัยๆว่า ปิระมิดสองแห่งที่กำลังสร้างในหนังนั้น ก็เพื่อเป็นสุสานของพระเจ้านั่นเอง อันนี้ตรงกับคติความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ
มุขนี้เลียนแบบมหาปิรามิดสามแห่งที่เมือง Giza ในประเทศอียิปต์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ แต่ปิรามิดของจริงนั้นสร้างแด่ฟาโรห์ที่ล่วงลับ และไม่ได้สร้างพร้อมกันทั้งสามแห่งอย่างในหนัง ปิรามิดของอียิปต์นั้นแห่งที่แก่ที่สุดสร้างขึ้นหลัง 3,000 ก่อนคริสตศักราช ดังนั้น 10,000 BC นี่ไม่มีปิรามิดแน่นอน รวมทั้งเรือใบหน้าตาแปลกที่แล่นในแม่น้ำตามท้องเรื่องด้วย (ภาพบนสุด)
ปิรามิดในหนังเป็นดังรูปนะครับ ผมเพิ่งจะเห็นปิรามิดเล็กๆที่สร้างเสร็จแล้วทางซ้ายมือ และปิรามิดจิ๋วๆอีกสามแห่ง
Layout เหมือนของจริงมาก ดูดิ ตัวเล็กๆสามหน่อนั่นเป็นของมเหสีสามองค์ของฟาโรห์องค์หนึ่งเจ้าของปิรามิดเบื้องหลังนะครับ
หินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นหัวสัตว์หมอบหน้าปิระมิดในหนังนี่ หน้าตาเหมือนหมูมาก เสียชื่อ Sphinx ต้นฉบับหมดเลย J แต่ไม่มีรูปนะครับ จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นตลกร้ายของผู้สร้าง
ระหว่างที่พระเอกติดตามหานางเอกบังเอิญพลัดตกลงไปในหลุมดักสัตว์ ไปจ๊ะเอ๊กับเสื้อเขี้ยวดาบ (Saber-Toothed Cat) ตัวนึง พระเอกใจดีช่วยเสือที่กำลังจมน้ำตายไว้ และเสือก็ตอบแทนพระเอกในเวลาต่อมา โดยไปป้องกันพระเอกจากการทำร้ายของชนเผ่าอื่น แล้วบังเอิญฟลุ๊คไปตรงกับตำนานของเผ่านั้นพอดี หากตานี่ไปอยู่ในช่วงเวลา 10,000 BC จริงๆก็มีโอกาสเจอกับเสื้อเขี้ยวดาบตัวเป็นๆได้นะครับ เพราะเค้าเพิ่งจะสูญพันธ์ไปเมื่อประมาณ 9,000 ปีมานี้เอง ในหนังตัวใหญ่มาก เขี้ยวยาวเกือบฟุต ตรงตามข้อมูลจริง แต่ไม่รู้หน้าตาจะเหมือนหรือเปล่า
The Mark หรือเครื่องหมายที่พวกเผ่าเทพเจ้ากลัวกันนักหนาคือกลุ่มดาวนายพราน (Orion) นะครับ คนไทยสมัยก่อนมองแค่สะดือนายพรานเห็นเป็นรูปคล้ายคันไถ จึงเรียกว่าดาวไถ การที่นางเองถูกเฆี่ยนจนได้รอยแผลที่มือเป็นรูปกลุ่มดาวนี้นับว่าฟลุ๊คจริงๆ นักบวชในเรื่องวัดขนาดแล้ว Approve ว่าใช่จริงๆ ไม่เชื่อลองดูรูปดาวนะครับ
ส่วนนางเอกน่ารักมาก ขอบอก ถึงจะหน้าตามอมแมมตลอดทั้งเรื่อง
พระเอกเกลี้ยกล่อมชนเผ่าที่ถูกนำเอามาเป็นทาสให้ลุกฮือต่อต้านพวกพระเจ้าได้สำเร็จ เพราะเผ่าต่างๆก็มีตำนานทำนองว่าพระเอกจะมาช่วยเหมือนกัน แต่กว่าพระเอกจะพิสูจน์ได้ว่าข้าพเจ้าคือ The One ก็เกือบแย่เหมือนกัน เพราะที่ตัวไม่มี The Mark ตามตำนาน ซึ่งไปอยู่กับนางเอก อีกตอนที่ชอบคือ พระเอกเริ่มท้อถอยแล้ว แต่เพื่อนพ่อพระเอกที่กำลังจะตายบอกว่า ตำนานแต่ละเผ่ามันก็ย่อมมีแตกต่างกันบ้าง จงทำสิ่งที่ควรจะต้องทำเถิด (ประมาณนี้ จำคำพูดเป๊ะๆไม่ได้)
พระเจ้าจับนางเอกเป็นตัวประกัน พระเอกเลยยั๊วพุ่งหอกไปถูกพระเจ้าตาย แล้วหันมาบอกพรรคพวกซึ่งตอนนั้นพอเห็นพระเจ้าก็ขาสั่น หมอบราบคาบแก้วกันหมดว่า เห็นมั้ยล่ะ He’s not god. ที่แกไหว้กันอยู่น่ะไม่ใช่พระเจ้าหรอก แล้วการปฏิวัติก็ดำเนินไปจนจบ happy ending
แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ก็ยังนับถือ God ในรูปแบบต่างๆ ต่อมาอีกนับหมื่นปี และคงจะเป็นแบบนี้อีกนานตราบเท่าที่ศาสนายังตอบสนองความต้องการของสังคมได้
ตอนที่พระเจ้ากลิ้งตกบันไดลงมาแล้วผ้าคลุมหน้าเปิดออก ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรนะ พอมาเขียนเรื่องนี้จึง เข้าใจมุขว่า พระเจ้าหน้าตาเหมือน Sphinx ในเรื่องเลย ซึ่งก็เป็นการล้อข้อสันนิษฐานนึงที่ว่า Sphinx แห่ง Giza ของจริงนั้นตัวเป็นสิงโตแต่หน้าตาเหมือนฟาโรห์ Khafre ผู้สร้างปิรามิดแห่งหนึ่ง
ตอนจบพระเอกและทีมงานที่รอดตายนำเมล็ดพันธุ์พืชกลับไปปลูกที่บ้านด้วย พอจะมีหลักฐานว่า มนุษย์เริ่มทำกสิกรรมเป็นราวๆหนึ่งหมื่นปีมาแล้ว (แถวๆบ้านเรานี่แหละ) ดังนั้นอันนี้น่าจะพอรับได้ จริงๆหนังน่าจะทำยาวไปจนถึงข้าวโพดออกเป็นฝักเลย เพราะตรงนี้นับว่าเป็นวิวัฒนาการสำคัญของมนุษย์
ก็คงจะจบเท่านี้ครับ ที่เล่าทั้งหมดนี่ไม่ได้คิดจะเครียดอะไรนะครับ แค่ลองเล่าเล่นๆดู หวังว่าคนที่ยังไม่ได้ไปดูคงไม่เสียอรรถรสมากนัก เพราะหนังก็ไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเท่าไหร่